MATCH
lookup_value สามารถอยู่ในรูปตัวเลข ข้อความ หรือค่าตรรกะ หรือการอ้างอิงเซลล์ไปยังตัวเลข การอ้างอิงเซลล์ไปยังข้อความ หรือการอ้างอิงเซลล์ไปนำไปใช้กับ: Microsoft Office Excel 2003, Office 2003, Excel
พิมพ์
แสดงทั้งหมด
คำอธิบาย
ฟังก์ชัน MATCH ค้นหารายการที่ระบุใน ช่วง ของเซลล์ต่างๆ จากนั้นจะส่งกลับตำแหน่งที่สัมพันธ์กันของรายการดังกล่าวในช่วง ตัวอย่างเช่น ถ้าช่วง A1:A3 ประกอบด้วยค่า 5, 25 และ 38 ดังนั้นสูตร
=MATCH(25,A1:A3,0)
จะส่งกลับตัวเลข 2 เนื่องจาก 25 เป็นรายการที่สองในช่วงนี้
ใช้ MATCH แทนฟังก์ชันใดฟังก์ชันหนึ่งของ LOOKUP เมื่อคุณต้องการตำแหน่งของรายการในช่วงแทนที่รายการเอง ตัวอย่างเช่น คุณอาจใช้ฟังก์ชัน MATCH เพื่อหาค่าสำหรับอาร์กิวเมนต์ row_num ของฟังก์ชัน INDEX
ส่งกลับค่าตำแหน่งสัมพัทธ์ของรายการข้อมูลในอาร์เรย์ที่ตรงกับค่าที่ระบุตามลำดับการเรียงที่กำหนดไว้ ให้ใช้ฟังก์ชัน MATCH แทนการใช้ฟังก์ชัน LOOKUP ชนิดใดชนิดหนึ่งหากต้องการแสดงค่าตำแหน่งของรายการข้อมูลที่อยู่ในช่วงใดช่วงหนึ่ง นอกเหนือจากแสดงค่าตำแหน่งของตัวรายการข้อมูลนั้น
ไวยากรณ์
MATCH(lookup_value,lookup_array,match_type)
lookup_value คือค่าที่คุณต้องการหาจากในตาราง
• lookup_value คือค่าที่คุณต้องการที่ตรงกับค่าใน lookup_array เช่น เมื่อคุณค้นหาหมายเลขในสมุดโทรศัพท์ของบางคน คุณกำลังใช้ชื่อของบุคคลนั้นเป็นค่าการค้นหา แต่หมายเลขโทรศัพท์เป็นค่าที่คุณต้องการ
• ยังค่าตรรกะ
lookup_array คือช่วงเซลล์ที่ติดกันซึ่งมีค่าที่ต้องการค้นหาเก็บอยู่ โดยจะต้องใส่ค่าที่เป็นอาร์เรย์หรือการอ้างอิงไปยังอาร์เรย์
match_type คือตัวเลข -1, 0 หรือ 1 ซึ่งจะระบุวิธีที่ Microsoft Excel ใช้หาค่า lookup_value ที่ตรงกับค่าใน lookup_array
• ถ้า match_type เป็น 1 ฟังก์ชัน MATCH จะค้นหาค่ามากสุดที่น้อยกว่าหรือเท่ากับ lookup_value โดย lookup_array จะต้องเรียงลำดับจากน้อยไปหามากนั่นคือ ...-2, -1, 0, 1, 2, ..., A-Z, FALSE, TRUE
• ถ้า match_type เป็น 0 ฟังก์ชัน MATCH จะค้นหาค่าแรกที่เท่ากับ lookup_value โดยค่าของ lookup_array จะเรียงลำดับแบบใดก็ได้
• ถ้า match_type เป็น -1 ฟังก์ชัน MATCH จะค้นหาค่าน้อยสุดที่มากกว่าหรือเท่ากับค่าของ lookup_value โดยต้องใส่ค่าของ lookup_array เรียงตามลำดับจากมากไปหาน้อยนั่นคือ TRUE, FALSE, Z-A, ...2, 1, 0, -1, -2, ... และต่อๆ ไป
• ถ้าไม่ได้ใส่ค่าของ match_type ไว้ ก็จะถือว่าค่านี้เท่ากับ 1
หมายเหตุ
• ฟังก์ชัน MATCH จะส่งกลับค่าตำแหน่งของค่าที่ตรงกันกับค่าของ lookup_array ซึ่งไม่ใช่ค่าของตัวเอง ตัวอย่างเช่น MATCH("b",{"a","b","c"},0) จะส่งกลับค่า 2 ซึ่งเป็นตำแหน่งสัมพัทธ์ของ "b" ภายในอาร์เรย์ {"a","b","c"}
• ฟังก์ชัน MATCH ไม่แยกความแตกต่างระหว่างตัวพิมพ์ใหญ่ และตัวพิมพ์เล็กเมื่อมีการเปรียบเทียบค่าข้อความ
• ถ้า MATCH ไม่ประสบความสำเร็จในการค้นหาค่าที่ตรงกัน จึงส่งกลับ #N/A เป็นค่าข้อผิดพลาด
• ถ้า match_type เป็น 0 และ lookup_value เป็นข้อความ ก็สามารถใส่อักขระสัญลักษณ์ตัวแทน เช่น ดอกจัน (*) และเครื่องหมายคำถาม (?) ไว้ใน lookup_value ได้ ซึ่งเครื่องหมายดอกจันจะทำหน้าที่เปรียบเทียบกับอักขระจำนวนเท่าใดก็ได้ ส่วนเครื่องหมายคำถามทำหน้าที่เปรียบเทียบกับอักขระตัวเดียวที่เป็นอักขระใดก็ได้
ตัวอย่าง
หากคัดลอกตัวอย่างไปใส่ไว้ในกระดาษคำนวณว่างเปล่าจะทำให้อ่านตัวอย่างได้เข้าใจยิ่งขึ้น
วิธีการ
1
2
3
4
5
A B
ผลคูณ นับจำนวน
กล้วย 25
ส้ม 38
แอปเปิ้ล 40
แพร์ 41
สูตร คำอธิบาย (ผลลัพธ์)
=MATCH(39,B2:B5,1) เนื่องจากไม่มีค่าที่ตรงกัน จึงส่งกลับค่าตำแหน่งของค่าน้อยสุดถัดไป (38) จากในช่วงเซลล์ B2:B5 (2)
=MATCH(41,B2:B5,0) ตำแหน่งของ 41 จากในช่วง B2:B5. (4)
=MATCH(40,B2:B5,-1) ส่งกลับค่าข้อผิดพลาด เนื่องจากช่วงเซลล์ B2:B5 ไม่ได้เรียงตามลำดับจากมากไปหาน้อย (#N/A)
แหล่งที่มาของข้อมูล
http://office.microsoft.com/th-th/excel-help/HP005209168.aspx
United States
วิธีการใช้ฟังก์ชันแผ่นงาน INDEX และ MATCH กับหลายเงื่อนไขใน Excel
PRODUCTS
วิธีการใช้ฟังก์ชันแผ่นงาน INDEX และ MATCH กับหลายเงื่อนไขใน Excel
คลิกที่นี่เพื่อแสดงบทความที่แปลโดยคอมพิวเตอร์และต้นฉบับภาษาอังกฤษเคียงข้างกัน
คลิกที่นี่เพื่อดูข้อจำกัดความรับผิดชอบของ KB ที่แปลโดยคอมพิวเตอร์
ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องในบทความนี้
สำหรับ Microsoft Excel 98 และรุ่นก่อนหน้าของบทความนี้ ให้ดู59482 .
บทความนี้มีตัวอย่างต่าง ๆ ที่ใช้ฟังก์ชันแผ่นงาน INDEX และ MATCH เพื่อค้นหาค่าที่ขึ้นอยู่กับหลายเงื่อนไขใน Microsoft Excel
กลับไปด้านบน
ข้อมูลเพิ่มเติม
ตัวอย่างต่อไปนี้ใช้ฟังก์ชันแผ่นงาน INDEX และ MATCH เพื่อค้นหาค่าที่ขึ้นอยู่กับหลายเงื่อนไข
กลับไปด้านบน
ตัวอย่างที่ 1: ข้อมูลในคอลัมน์
วิธีที่ 1:
1. เริ่ม Excel
2. พิมพ์ข้อมูลต่อไปนี้ลงในแผ่นงานใหม่:
3. A1: Part B1: Code C1: Price D1: Find Part E1: Find Code
4. A2: x B2: 11 C2: 5.00 D2: y E2: 12
5. A3: x B3: 12 C3: 6.00 D3: y E3: 11
6. A4: y B4: 11 C4: 7.00 D4: x E4: 12
7. A5: y B5: 12 C5: 8.00 D5: x E5: 11
8. เมื่อต้องการดึงข้อมูลราคาสำหรับ y ส่วนด้วยรหัส 12 และคืนค่าไปยังเซลล์ F2 พิมพ์สูตรต่อไปนี้ในเซลล์ F2:
=index($c$2:$c$5,match(d2,if($b$2:$b$5=e2,$a$2:$a$5),0))
9. กด CTRL + SHIFT + ENTER เพื่อป้อนสูตรเป็นสูตรอาร์เรย์
สูตรส่งกลับค่า 8.00
10. เลือกเซลล์ F2, grab จุดจับเติม และกรอกข้อมูลลงไปเซลล์ F5 เพื่อเรียกข้อมูลราคาสำหรับแต่ละชุดของส่วนและรหัส
วิธีที่ 2
วิธีการสอง yields ผลลัพธ์เดียวกัน แต่ใช้ concatenation แทน สูตรตัวอย่างต่อไปนี้อาจจะดีกว่าสำหรับการจับคู่ข้อมูลกับเงื่อนไขที่สองมากกว่าเนื่องจากไม่ต้องใช้คำสั่ง IF ซ้อนกัน วิธีนี้จะเหมือนกับวิธีที่ 1 ยกเว้นว่าคุณแทนสูตรในขั้นตอนที่ 3 ด้วยสูตรต่อไปนี้:
=index($c$2:$c$5,match(d2&e2,$a$2:$a$5&$b$2:$b$5,0))
กลับไปด้านบน
ตัวอย่างที่ 2: ข้อมูลที่จัดเรียงในแถว
วิธีที่ 1:
1. เริ่ม Excel
2. พิมพ์ข้อมูลต่อไปนี้ลงในแผ่นงานใหม่:
3. A1: Part B1: x C1: x D1: y E1: y
4. A2: Code B2: 11 C2: 12 D2: 11 E2: 12
5. A3: Price B3: 5.00 C3: 6.00 D3: 7.00 E3: 8.00
6. A4: Find Part B4: y C4: y D4: x E4: x
7. A5: Find Code B5: 12 C5: 11 D5: 12 E5: 11
8. เมื่อต้องการดึงข้อมูลราคาสำหรับ y ส่วนด้วยรหัส 12 และคืนค่าไปยังเซลล์ B6 พิมพ์สูตรต่อไปนี้ในเซลล์ B6:
=index($b$3:$e$3,match(b4,if($b$2:$e$2=b5,$b$1:$e$1),0))
9. กด CTRL + SHIFT + ENTER เพื่อป้อนสูตรเป็นสูตรอาร์เรย์
สูตรส่งกลับค่า 8.00
10. เลือกเซลล์ B6, grab จุดจับเติม และจากนั้น กรอกข้อมูลขวาไปเซลล์ E6 เรียกราคาสำหรับแต่ละชุดของส่วนและรหัส
วิธีที่ 2
วิธีการสอง yields ผลลัพธ์เดียวกัน แต่ใช้ concatenation แทน สูตรตัวอย่างต่อไปนี้อาจจะดีกว่าสำหรับการจับคู่ข้อมูลกับเงื่อนไขที่สองมากกว่าเนื่องจากไม่ต้องใช้คำสั่ง IF ซ้อนกัน วิธีนี้จะเหมือนกับวิธีที่ 1 (ภายใต้ 2 ตัวอย่าง) ยกเว้นว่าคุณแทนสูตรในขั้นตอนที่ 3 ด้วยสูตรต่อไปนี้:
=index($b$3:$e$3,match(b4&b5,$b$1:$e$1&$b$2:$e$2,0))
กลับไปด้านบน
________________________________________
ใช้กับ
กลับไปด้านบน
Keywords: kbquery kbfunctions kbhowto kbmt KB214142 KbMtth
กลับไปด้านบน
แปลโดยคอมพิวเตอร์
ข้อมูลสำคัญ: บทความนี้แปลโดยซอฟต์แวร์การแปลด้วยคอมพิวเตอร์ของ Microsoft แทนที่จะเป็นนักแปลที่เป็นบุคคล Microsoft มีบทความที่แปลโดยนักแปลและบทความที่แปลด้วยคอมพิวเตอร์ เพื่อให้คุณสามารถเข้าถึงบทความทั้งหมดในฐานความรู้ของเรา ในภาษาของคุณเอง อย่างไรก็ตาม บทความที่แปลด้วยคอมพิวเตอร์นั้นอาจมีข้อบกพร่อง โดยอาจมีข้อผิดพลาดในคำศัพท์ รูปแบบการใช้ภาษาและไวยากรณ์ เช่นเดียวกับกรณีที่ชาวต่างชาติพูดผิดเมื่อพูดภาษาของคุณ Microsoft ไม่มีส่วนรับผิดชอบต่อความคลาดเคลื่อน ความผิดพลาดหรือความเสียหายที่เกิดจากการแปลเนื้อหาผิดพลาด หรือการใช้บทแปลของลูกค้า และ Microsoft มีการปรับปรุงซอฟต์แวร์การแปลด้วยคอมพิวเตอร์อยู่เป็นประจำ
ต่อไปนี้เป็นฉบับภาษาอังกฤษของบทความนี้:214142
แหล่งที่มา: http://support.microsoft.com/kb/214142/th
MATCH
ใช้เพื่อส่งกลับค่าตำแหน่งสัมพัทธ์ของรายการข้อมูลในอาร์เรย์ที่ตรงกับค่าที่ระบุตามลำดับการเรียงที่กำหนดไว้ ให้ใช้ฟังก์ชัน MATCH แทนการใช้ฟังก์ชัน LOOKUP ชนิดใดชนิดหนึ่งหากต้องการแสดงค่าตำแหน่งของรายการข้อมูลที่อยู่ในช่วงใดช่วงหนึ่ง นอกเหนือจากแสดงค่าตำแหน่งของตัวรายการข้อมูลนั้น
MATCH(lookup_value,lookup_array,match_type)
lookup_value
คือค่าที่ต้องการหาจากในตาราง
- lookup_value คือค่าที่คุณต้องการที่ตรงกับค่าใน lookup_arrayเช่นเมื่อคุณค้นหาหมายเลขในสมุดโทรศัพท์ของบางคนคุณกำลังใช้ชื่อของบุคคลนั้นเป็นค่าการค้นหาแต่หมายเลขโทรศัพท์เป็นค่าที่คุณต้องการ
- lookup_value สามารถอยู่ในรูปตัวเลขข้อความหรือค่าตรรกะ หรือการอ้างอิงเซลล์ไปยังตัวเลขการอ้างอิงเซลล์ไปยังข้อความหรือการอ้างอิงเซลล์ไปยังค่าตรรกะ
lookup_array
คือช่วงเซลล์ที่ติดกันซึ่งมีค่าที่ต้องการค้นหาเก็บอยู่ โดยจะต้องใส่ค่าที่เป็นอาร์เรย์หรือการอ้างอิงไปยังอาร์เรย์
match_type
คือตัวเลข -1, 0หรือ 1 ซึ่งจะระบุวิธีที่ MicrosoftExcelใช้หาค่า lookup_value ที่ตรงกับค่าในlookup_array
-ถ้าmatch_type เป็น1 ฟังก์ชัน MATCH จะค้นหาค่ามากสุดที่น้อยกว่าหรือเท่ากับlookup_value โดยlookup_array จะต้องเรียงลำดับจากน้อยไปหามากนั่นคือ...-2, -1, 0, 1, 2, ..., A-Z, FALSE, TRUE
-ถ้าmatch_type เป็น0 ฟังก์ชัน MATCH จะค้นหาค่าแรกที่เท่ากับlookup_value โดยค่าของlookup_array จะเรียงลำดับแบบใดก็ได้
-ถ้าmatch_type เป็น-1 ฟังก์ชัน MATCH จะค้นหาค่าน้อยสุดที่มากกว่าหรือเท่ากับค่าของlookup_value โดยต้องใส่ค่าของlookup_array เรียงตามลำดับจากมากไปหาน้อยนั่นคือTRUE, FALSE, Z-A, ...2, 1, 0, -1, -2, ... และต่อๆไป
-ถ้าไม่ได้ใส่ค่าของmatch_typeไว้ ก็จะถือว่าค่านี้เท่ากับ 1
** หมายเหตุ **
- ฟังก์ชันMATCH จะส่งกลับค่าตำแหน่งของค่าที่ตรงกันกับค่าของlookup_arrayซึ่งไม่ใช่ค่าของตัวเองตัวอย่างเช่น MATCH("b",{"a","b","c"},0)จะส่งกลับค่า2 ซึ่งเป็นตำแหน่งสัมพัทธ์ของ"b" ภายในอาร์เรย์{"a","b","c"}
- ฟังก์ชันMATCH ไม่แยกความแตกต่างระหว่างตัวพิมพ์ใหญ่และตัวพิมพ์เล็กเมื่อมีการเปรียบเทียบค่าข้อความ
- ถ้าMATCH ไม่ประสบความสำเร็จในการค้นหาค่าที่ตรงกันจึงส่งกลับ#N/A เป็นค่าข้อผิดพลาด
- ถ้าmatch_type เป็น0 และlookup_value เป็นข้อความก็สามารถใส่อักขระสัญลักษณ์ตัวแทนเช่น ดอกจัน (*) และเครื่องหมายคำถาม (?)ไว้ใน lookup_value ได้ซึ่งเครื่องหมายดอกจันจะทำหน้าที่เปรียบเทียบกับอักขระจำนวนเท่าใดก็ได้ส่วนเครื่องหมายคำถามทำหน้าที่เปรียบเทียบกับอักขระตัวเดียวที่เป็นอักขระใดก็ได้
EXAMPLE
ตัวอย่าง
1. สร้างสมุดงานหรือแผ่นงานว่างเปล่า
2. เลือกตัวอย่างในหัวข้อวิธีใช้แต่อย่าเลือกหัวแถวหรือหัวคอลัมน์
การเลือกตัวอย่างจากวิธีใช้
3. กด CTRL+C
4. ในแผ่นงาน ให้เลือกเซลล์ A1 แล้วกด CTRL+V
5. เมื่อต้องการสลับระหว่างการดูค่าผลลัพธ์กับการดูสูตรที่ส่งกลับค่าผลลัพธ์นั้นให้กด CTRL+` (อักขระเน้นเสียง) หรือบนเมนู เครื่องมือ ให้ชี้ไปที่ ตรวจสอบสูตร จากนั้นคลิก โหมดตรวจสอบสูตร
1
2
3
4
5
A B
ผลคูณ นับจำนวน
กล้วย 25
ส้ม 38
แอปเปิ้ล 40
แพร์ 41
สูตร คำอธิบาย (ผลลัพธ์)
=MATCH(39,B2:B5,1) เนื่องจากไม่มีค่าที่ตรงกัน จึงส่งกลับค่าตำแหน่งของค่าน้อยสุดถัดไป (38) จากในช่วงเซลล์ B2:B5 (2)
=MATCH(41,B2:B5,0) ตำแหน่งของ 41 จากในช่วง B2:B5. (4)
=MATCH(40,B2:B5,-1) ส่งกลับค่าข้อผิดพลาด เนื่องจากช่วงเซลล์ B2:B5 ไม่ได้เรียงตามลำดับจากมากไปหาน้อย (#N/A)
แหล่งที่มา http://meowmu.exteen.com/page/3
นางบุญมี พุทธโกษา เลขที่ 10 ห้อง ก.คพธ 51
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น